รายละเอียด:
พระกริ่งไพรีพินาศ รุ่นเหล็กไหล เฉลิมพระเกียรติในหลวง รัชกาลที่ 9 ครบ ๖ รอบ เนื้อสัมฤทธิ์ หมายเลข 1155 ไม่มีกล่องนะครับ
พระกริ่งไพรีพินาศ เฉลิมพระเกียรติ ในหลวงพระชนมพรรษา 6 รอบ ปี 2542 ประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษก ในพระอุโบสถ 6 วัด ดังนี้
1.วัดสุทัศน์เทพวนาราม
2.วัดช้างให้
3.วัดท่าซุง
4.วัดยางเครือ
5.วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
6.วัดบวรนิเวศวรวิหาร
จัดสร้างพิธีใหญ่ครับปลุกเสก 2 ปี โดยเกจิทั้งสี่ภาคทั่วประเทศ ภายในบรรจุกริ่งเหล็กไหลที่ปลุกเสกแล้ว + ตอกโค๊ดอุดกริ่ง เนื้อนวะ
|
พระกริ่ง ไพรีพินาศ เฉลิมพระเกียรติ ในหลวงพระชนมพรรษา 6
รอบ ปี42 เนื้อนวโลหะผสมทองคำ (รุ่นบรรจุหล็กไหล)+ เนื้อสัม
ฤทธิ์ ประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษก ในพระอุโบสถ วัดสุทัศน์เทพวนาราม วั
ดช้างให้
วัดท่าซุง วัดยางเครือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และวัดบวรนิเวศวรวิหาร จัดสร้างพิธีใหญ่ครับปลุกเสก 2 ปี โดยเกจิทั้งสี่ภาคทั่วประเทศ ภายในบรรจุกริ่งเหล็กไหลที่ปลุกเสกแล้ว + ตอกโค๊ดอุดกริ่ง เนื้อนวะหมายเลข 1881 |
|
พระกริ่ง ไพรีพินาศ เฉลิมพระเกียรติ ในหลวงพระชนมพรรษา 6 รอบ ปี42 เนื้อนวโลหะผสมทองคำ (รุ่นบรรจุเหล็กไหล)+ เนื้อสัมฤทธิ์ ประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษก ในพระอุโบสถ วัดสุทัศน์เทพวนาราม วัดช้างให้ วัดท่าซุง วัดยางเครือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และวัดบวรนิเวศวรวิหาร จัดสร้างพิธีใหญ่ครับปลุกเสก 2 ปี โดยเกจิทั้งสี่ภาคทั่วประเทศ ภายในบรรจุกริ่งเหล็กไหลที่ปลุกเสกแล้ว + ตอกโค๊ดอุดกริ่ง เนื้อนวะหมายเลข 1881 |
พระกริ่งไพรีพินาศ เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ปี 2542 (รุ่นบรรจุเหล็กไหล) โดยกองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ สมัยยุคที่ "พ.อ.อนุตร ธรศรี" เป็นผู้บังคับกองพัน รุ่นนี้ "ดีนอก-ดีใน" คำว่า "ดีนอก" คือ ได้รวบรวมแผ่นยันต์ แผ่นจาร โลหธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์ สายล่อฟ้า หลังคาโบสถ์ หลังคาวิหาร ยอดเจดีย์ ยอดพระปรางค์ จากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศนำมาหล่อหลอมในมณฑลพิธีต่างๆ "ดีใน"
พระไพรีพินาศรุ่นนี้ พระเกจิอาจารย์ดังทั่วประเทศ 73 องค์ อธิษฐานจิตเดี่ยวนาน 2 ปี ( พ.ศ.2542-2543) โดยอาจารย์ชื่อดัง 73 รูป ทั่วประเทศ ประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษก ในพระอุโบสถ วัดสุทัศน์เทพวนาราม วัดช้างให้ วัดท่าซุง วัดยางเครือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และวัดบวรนิเวศวิหาร..สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฏราชกุมาร เสด็จเป็นองค์ประธาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายกทรงจุดเทียนชัย ซึ่งตำนานการจัดสร้างบางตอนได้บันทึกไว้ว่า (1.) หลวงพ่ออุตตมะ พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งวัดวังก์วิเวการาม จ.กาญจนบุรี ได้อธิษฐานจิตปลุกเสกพระรุ่นนี้เป็นองค์แรก ก่อนเดินสายปลุกเสกเดี่ยวทั่วไทยและได้ร่วมในพิธีมหาพุทธาภิเษกอีก 1 ครั้ง (2.)หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม เป็นพระเกจิอาจารย์ที่ได้ปลุกเสกพระรุ่นนี้มากที่สุดถึง 5 ครั้ง โดยอธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยว ณ วัดไผ่ล้อม 1 ครั้ง และพิธีมหาพุทธาภิเษกอีก 4 ครั้ง (3.)หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ได้เมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวเป็นกรณีพิเศษ ณ วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา หลังเสร็จพิธีได้มอบเงินถวายคืนพร้อมกับพูดว่า"กูสร้างบารมีด้วย"....ในการ เดินทางเพื่อนำวัตถุมงคลไปให้"ครูบา"ภาคเหนือปลุกเสกเช่น ครูบาเทือง ครูบาดวงดี ครูบาดวงแสง ที่บันทึกว่าทุรกันดารมากที่สุดได้แก่ ครูบาเหนือชัย นักบุญแห่งขุนเขา จ.เชียงราย บำเพ็ญตบะอยู่บนเขา รถวัตถุมงคลขึ้นไปไม่ได้ก็ขี่ม้าลงมาปลุกเสกให้ถึงกระท่อมเชิงเขา...เกจิ ชื่อดังภาคอิสาน หลวงปู่คำพันธ์ หลวงปู่มา อาจารย์แปลง หลวงปู่เจียม หลวงปู่ฤทธิ์ และที่บันทึกว่าเมตตามากที่สุด คือ หลวงปู่ศรี มหาวีโร จ.ร้อยเอ็ด ต้องรอรถวัตถุมงคลต่อจาก หลวงปู่พวง หลวงปู่สรวง จ.ยโสธรนานถึง 2 ชั่วโมง ในครั้งนั้นมีหลวงปู่ท่านหนึ่งบอกว่า"พระรุ่นนี้ศักดิ์สิทธิ์แล้วไม่ต้อง ปลุกเสกอีกก็ได้"พร้อมกับทดสอบให้เป็นที่ประจักษ์แก่คณะเดินทาง และได้เข้าพิธีมหาพุทธาภิเษกใหญ่ อีก 6 วาระด้วยกัน และได้บรรจุเหล็กไหล ฉะนั้น วัตถุมงคลชุดนี้ดีพร้อมทุกประการ อยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาดปลอดภัย สยบสิ่งที่เป็นอัปมงคลทั้งปวง และดลบันดาลให้พรั่งพร้อมไปด้วยโชคลาภ วาสนา บารมี ตบะ เดช เมตตามหานิยมเป็นเลิศ ความลี้ลับของเหล็กไหลในโลกยุคโลกาภิวัตน์เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อและชวนให้ พิสูจน์ จากตำนานเรื่องเหล็กไหลมีมานานตั้งแต่ยุคสมัยโบราณ แม้ในวรรณคดีต่างๆ เมื่อกล่าวถึงเรื่องราวของเครื่องรางของขลังประเภทคงกระพันชาตรีและของวิเศษ ที่ทรงอานุภาพ ในการป้องกันตัวแล้วมักจะกล่าวถึงเหล็กไหล รวมอยู่ด้วยเสมอ คุณลักษณะที่ได้พบเห็นหรือมีลักษณะเหมือนก้อนเหล็กที่ยึดตัวได้ มีสีสันต่างๆ กันมากมายหลายลักษณะและหลายรูปทรง
"เหล็กไหล" เป็นธาตุอมตะกายสิทธิ์ ที่มีรังสีหรือพลังปราณที่ทรงอำนาจในการป้องกันตัว และสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวให้พ้นจากภัยอันตรายอันเกิดจากอาวุธปืนหรือของมีคม เป็นสสารที่มีชีวิต เป็นอมตะและหายากยิ่ง เป็นธาตุที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
พระอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณแก่กล้า ทั้งพุทธเวท ไสยเวท ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับเหล็กไหล มีความเพียรพยายามที่จะศึกษาการตัดก็ดี การเรียกก็ดี ตามวิชาอาคมชั้นสูงในด้านกสิณ 5 ตามแนวไสยศาสตร์ได้แก่ กสิณ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ
รวมทั้งการถอดจิตวิญญาณที่เรียกว่า "มโนอิทธิ" และวิชาอิทธิวิธี ที่มีภูมิจิตภูมิธรรมถึงขีดผู้ทรงฤทธิ์กฤติยาคม ตามแนวทางไสยศาสตร์สัมปยุตกับพุทธศาสตร์ที่เรียกกันว่า ไสยเวทพุทธาคม หรือผู้ที่มีพรสวรรค์ หรือ "ปุพเพ กตปุญญตา" คือผู้ที่มีวาสนาและบารมีในทางธรรม อันเคยได้ฝึกฝนสมาธิมาดี ยิ่งได้นำแร่ธาตุกายสิทธิ์ซึ่งเป็นของดี โดยธรรมชาติในตัวอยู่แล้วมีความเข้มขลังยิ่งขึ้น ด้วยอานุภาพแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ และอิทธิพลังจิตในธรรมที่ท่านอาจารย์ทั้งหลายได้ฝึกฝนปฏิบัติมาอย่างดีแล้ว เพิ่มพลังอันศักดิ์สิทธิ์เข้าไปอีก จึงทำให้วัตถุมงคลเหล่านั้นมีอานุภาพยิ่งขึ้นไปไม่มีวันเสื่อมสลายชั่วกาล นาน
พระไพรีพินาศ เป็นพระพุทธรูปศิลาขนาดย่อม มีขนาดหน้าพระเพลา๓๓ เซนติเมตร เป็นพระพุทธรูปแบบธยานิพุทธเจ้า ปางประทานพร สมัยศรีวิชัย แต่นักสังเกตบางคนสงสัยว่า “พระพุทธรูป สมัยศรีวิชัย มีเพียงเกตุมาลา เป็นจอมคล้ายสมัยทราวดีเป็นพื้น” พระพุทธรูปองค์นี้ มีผู้นำมาถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เมื่อยังทรงผนวชอยู่ ราว พ.ศ.๒๓๙๑ ได้ถวายพระนามว่า “พระไพรีพินาศ”
ซุ้มเก๋ง ด้านเหนือแห่งพระเจดีย์นั้น เป็นที่ประดิษฐานพระไพรีพินาศ ในการบูรณปฏิสังขรณ์ปีพุทธศักราช ๒๕๐๗-๘ นี้ ทำประตูเหล็ก ๒ ชั้น ช่องหน้าต่างใส่เหล็กทั้งสองข้าง ฝาผนังปิดโมเสก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ปิดทองพระไพรีพินาศ ในวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๐๘ ด้วย
ในหนังสือตำนานวัดมีกล่าวว่า “พระไพรีพินาศ ใคร่ครวญตามพระนามน่าจะได้เชิญประดิษฐานไว้ในเก๋งน้อยที่สร้างใหม่ ณ ทักษิณชั้นบนแห่งพระเจดีย์ในครั้งนั้น เว้นไว้แต่จักได้ประดิษฐานไว้แล้วในครั้งยังทรงผนวชเมื่อ พ.ศ.๒๓๙๑ ที่เป็นคราวสิ้นเสี้ยนศัตรู ครั้งแรก”
พระไพรีพินาศ ในสาสน์สมเด็จ
เล่ม ๒ หน้า ๘๕-๙๐-๑๑๖
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทูลสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่า สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ ตั้งปัญหาถามกระหม่อมว่า พระไพรีพินาศนั้น เป็นพระอะไร มาแต่ไหน ทำไมจึงมาอยู่วัดบวรนิเวศ เหตุใดจึงชื่อว่า ไพรีพินาศ เกล้ากระหม่อมหงายท้อง ไม่สามารถตอบได้ อยากรู้เหมือนกัน เคยทูลถามฝ่าพระบาทก็ไม่ทรงทราบเหมือนกัน หันไปหันมาเห็นกรมหมื่นพงศา จึงลองเข้าจดทูลถามดู ตรัสบอกว่า ใครก็ทรงจำชื่อไม่ได้เสียแล้ว เป็นผู้นำมาถวายทูลกระหม่อมเมื่อยังทรงผนวชอยู่ เป็นเวลาติดต่อกับที่หม่อมไกรสรถูกสำเร็จโทษ จึงโปรดตั้งพระนามว่า "พระไพรีพินาศ”
พระไพรีพินาศเจีดย์ เป็นพระเจดีย์ศิลา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น บรรจุพระพุทธวจนะ ประดิษฐานอยู่ในคูหาภายในพระเจดีย์ใหญ่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๐๗ ระหว่างการบูรณะพระเจดีย์ใหญ่ได้เปิดองค์พระไพรีพินาศเจดีย์ดู พบกระดาษสีขาว มีตราแดง ๒ ดวง มีอักษรเขียนว่า "พระสถูปเจดียสิลาบัลลังองค์ จงมีนามว่า พระไพรีพินาศเจดียเทิญ" อีกหน้าหนึ่งเขียนว่า "เพระตั้งแต่ทำแล้วมา คนไพรีก็วุ่นวายยับเยินไปโดยลำดับ"
คาถาบูชาพระไพรีพินาศ
อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ สุจิรํ ปรินิพฺพุโต
คุเณหิ ธรมาโนทานิ ปารมีหิ จ ทิสฺสติ
ยาวชีวํ อหํ พุทธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คโต
ปูเชมิ รตนตฺตยํ ธมฺมํ จรามิ โสตฺถินา.