... สมเด็จฯ (กรมหลวงวชิรญาณวงศ์) ท่านเป็นพระแท้ ถึงจะบริบูรณ์ด้วยสมณศักดิ์และลาภอดิเรกต่างๆ ตามฐานะของท่านซึ่งมีคนเคารพนับถือมากมาย ท่านเองก็มิได้ไยดีต่อสิ่งเหล่านั้น จำได้ว่าในวันที่ประกาศตั้งท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชพิธีหนึ่ง ในพระบรมมหาราชวัง ... เด็กลูกศิษย์วัดกลุ่มหนึ่งที่ตามพระราชาคณะเข้าไปในวัดจับกลุ่มนั่งคุยกันอยู่ข้างนอก เด็กคนหนึ่งถามขึ้นว่า "สังฆราชองค์ใหม่นี้ชื่ออะไรโว้ย!" ทันใดนั้นก็มีเสียงห้าวๆ ตอบมาจากข้างหลังว่า "ชื่อชื่นโว้ย!" งานพระราชพิธีเสร็จลงแล้ว สมเด็จฯ ท่านออกจากพระที่นั่งเดินมาตามลูกศิษย์ของท่านจะกลับวัด บังเอิญมาได้ยินปุจฉาของเด็กเข้า ท่านก็เลยตอบให้ เพราะชื่อจริงของท่านคือ ม.ร.ว. ชื่น นพวงศ์
... สมเด็จฯ ท่านก็แบบนั้น ท่านไม่ไยดีต่อตำแหน่งอันสูงของท่านเสียจนบางทีท่านก็ลืมท่านเสด็จไปที่ลพบุรี ในงานทำบุญที่วัดหนึ่ง ชาวบ้านที่เขามาทำบุญเขาเห็นท่าน เขาก็เรียกว่าหลวงตา ท่านก็รับเออรับคะ คุยกับเขาได้ทั้งวัน สบายอกสบายใจมาก บางวัน สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ก็หายไปจากวัดบวรนิเวศวิหาร เจ้าคุณฐานานุกรมวิ่งหากันวุ่น ถามใครก็ไม่มีใครรู้ ว่าจะว่าเสด็จออกจากวัดก็ไม่เห็นมีรถหลวงประจำตำแหน่งสังฆราชมารับ แต่พอราวๆ เที่ยงเศษ ท่านก็ถือตาลปัตรเดินกลับมาเอง เพราะท่านรับนิมนต์ชาวบ้านเขาไว้ ไปสวดมนต์และฉันเพลตามห้องแถวเล็กๆ แถวเสาชิงช้าหรือบางลำพู เลขานุการประจำพระองค์ก็มักจะไม่รู้ เพราะใครมานิมนต์ท่าน ท่านก็จดๆ เอาไว้ตามเศษกระดาษบ้าง ห่อใบชาบ้าง ตามแต่อะไรจะอยู่ใกล้มือ
... พูดถึงเรื่องสมเด็จฯ ฉันข้าว ... ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กมาจนโต เคยเห็นแต่ท่านฉันเพื่ออยู่แท้ๆ ไม่เคยเห็นท่านสนพระทัยในอาหารที่เขาประเคนท่านเลย ดูสมเด็จฯ ฉันข้าวแล้วเหมือนกับดูคนเติมน้ำมันรถ หรือเอาถ่านใส่ไฟในเตาเพื่อมิให้ดับ มิได้มีความคิดถึงการกินข้าวด้วยความเอร็ดอร่อยเกิดขึ้นในใจเลย บางทีมีคนเอาอาหารตกแต่งแล้วอย่างประณีตไปถวายท่าน ท่านก็ฉันเพียงเพื่อฉลองศรัทธาแล้วก็แค่นั้น
... สมเด็จฯ ทรงมีวิธีสอนธรรมอย่างอื่นอีก และทรงปฏิบัติองค์ให้ผู้อื่นแลเห็นธรรมได้เนืองนิจ เป็นต้นว่า ธรรมคือความไม่ประมาท สมเด็จฯ เสด็จกลับมาจากหัวหินผมก็ไปเฝ้าเยี่ยมในเย็นวันนั้น ที่ปากประตูกุฏิมีต้นอะไรแค่คืบใส่กระป๋องนมวางอยู่ ผมถามสมเด็จฯ ว่าต้นอะไร ท่านบอกว่า "ต้นพยอมว่ะ สมภารวัดหัวหินท่านให้กันมา" - "โอ้โฮ!" ผมว่า "ทำไมโอ้โฮ?" สมเด็จถาม "- "ก็ต้นพยอมมันต้องใช้เวลาตั้งสี่สิบหรือห้าสิบปีตั้งแต่ปลูกจึงจะโตออกดอกได้ สมเด็จแก่จะตายมิตายแหล่อยู่แล้ว จะไปได้ดูดอกมันทันอย่างไร" - "อย่างนั้นหรือ" สมเด็จฯ ว่า "เอ็งว่ากี่ปีนะ" - "ห้าสิบปี" สมเด็จฯ ตะโกนเรียกไวยาวัจกรลั่นกุฏิ พอไวยาวัจกรมาเฝ้าแล้วก็รับสั่งให้เอาต้นพยอมแค่คืบนั้นไปหาที่ปลูกทันที อย่าให้เสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว "ไอ้นี่มันบอกว่าต้องปลูกห้าสิบปีต้นพยอมมันถึงจะออกดอก ต้องรีบปลูกเร็วๆ อย่าให้เสียเวลา ลุแก่ความประมาทไม่ได้"
... ถึงเวลาสมเด็จฯ ฉันเช้าหรือเพลท่านก็ออกไปนั่งที่ห้องเล็กหน้ากุฏิ หันหลังพิงฝา ข้าวช้อนเดียวท่านฉันอยู่ตั้งนานไม่รู้จักหมด แต่ขณะที่ฉันนั้นท่านก็หยิบข้าวสุกทีละเม็ดจิ้มกับข้าวอย่างนั้นบ้าง อย่างนี้บ้าง แล้วก็เอาไปติดที่ฝาหนังเบื้องหลัง ท่านเอานิ้วเคาะที่ฝาเบาๆ ทีหนึ่งหรือสองทีจิ้่งจกก็วิ่งออกมากิน บางตัวก็ออกมาคอยอยู่เลยและกินจากมือท่าน บางวันดูเหมือนจิ้งจกจะได้กินข้าวมากกว่าสมเด็จฯ ความเมตตานั้นมีหลายชั้นเหลือเกิน บางคนเมตตาสัตว์เฉพาะบางชนิด เช่น สัตว์ที่สวยงาม หรือฉลาด หรือมีราคา แต่สมเด็จฯ ท่านเมตตาจิ้งจกที่เป็นสัตว์เลี้ยคลาน ซึ่งคนส่วนมากรังเกียจ เรื่องนี้ผมเคยแต่นั่งดูแล้วเก็บเอาไว้ในใจ ไม่เคยถามท่าน และท่านก็ไม่เคยพูดกับผม แต่ดูหมือนกับว่าท่านจะรู้จักกับจิ้งจกทุกตัวในกุฏิ
... เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ กลับพระนครจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากที่ได้เสด็จฯ ไปทรงศึกษาต่ออีกครั้งหนึ่งนั้น ประชาชนหลั่งไหลไปรับเสด็จฯ เนืองแน่น ทุกถนนหนทาง ตั้งแต่ดอนเมืองไปจนถึงพระบรมมหาราชวัง ตามหมายกำหนดการนั้น จะต้องเสด็จฯ ไปทรงบูชาพระรัตนตรัย ที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงศีล และรับอดิเรกจากพระสงฆ์ที่นั่น สมเด็จฯ ก็เข้าไปคอยรับเสด็จฯ พระเจ้าอยู่หัว ในพระอุโบสถนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ เข้าไป ได้ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับสมเด็จฯ เจ้าพนักงานจะลืมปิดไมโครโฟนหรืออย่างไรไม่ทราบ แต่มีเสียงสมเด็จฯ ออกอากาศทางวิทยุ ได้ยินกันทั้งเมืองว่า "ราษฎรเขามาคอยเฝ้าฯ กันตามถนนหนทางมากมาย เจ้าหน้าที่ทหารตำรวจไปคอยกันเขาไม่ให้เข้าใกล้ได้แลเห็นพระองค์ เขาเสียใจ เขาเสียใจกันมาก ในเมืองไทยเรานี้ พระเจ้าแผ่นดินกับราษฎรไม่เป็นภัยต่อกันเลย ขอให้ทรงจำไว้ ราษฎรไม่เป็นภัยต่อพระองค์เลย..." แล้วเสียงสมเด็จฯ ก็เงียบหายไป ชะรอยใครจะปิดไมโครโฟนตรงหน้าท่าน ซึ่งขณะที่ท่านถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัว ท่านก็คงไม่ทราบว่าไมโครโฟนนั้นเปิดอยู่ กาลเวลาที่ได้ล่วงเลยมานาน ได้พิสูจน์ให้เห็นประจักษ์แล้วว่า สมเด็จฯ ท่านพูดถูก พูดตรง และพูดจริง และก็ไม่เคยมีปรากฏในยุคใดสมัยใดเลยว่า ราษฎรได้เข้าเฝ้าฯ ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดินของพวกเขา ด้วยความรักและความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ปราศจากภัยโดยสิ้นเชิง อย่างในยุคนี้สมัยนี้
*เกร็ดพระประวัติสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (พระราชอุปัชฌาจารย์ของในหลวง)
*จากหนังสือ
"ยิ้มกับคึกฤทธิ์" สำนักพิมพ์สยามรัฐ พ.ศ. 2522
"เกร็ดชีวิต คึกฤทธิ์ ปราโมช" สำนักพิมพ์สยามรัฐ พ.ศ. 2535
*ภาพ
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ถ่ายที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปี 2497 โดย Howard Sochurek | Bangkok, Thailand | LIFE Photo Collection
*เรื่องอ่านเพิ่มเติม
"สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศน์ ทรงเสด็จมาสืบข้อเท็จจริง (หลวงปู่กงมา)"
//luangpumun.org/vacila.html