รายละเอียด:
พระรูปเหมือนลอยองค์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร องค์นี้ เป็นเนื้อทองคำ ที่งามที่สุด ซึ่งพระองค์ทรงตรัสกับทีมจัดสร้างว่าจัดสร้างได้เหมือนพระองค์มากที่สุดเลยรุ่นนี้ สร้างปี พ.ศ. ๒๕๔๓ น้ำหนักทอง ๒๒ กว่ากรัม เลข ๑๔๒ ที่สุดแห่งสุดยอดแห่งพระรูปเหมือนลอยองค์ที่ หายากสุด ๆ ๆ ๆ สร้าง ๓๙๙ องค์เท่านั้น ......
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก(สุวฑฺฒนมหาเถร) เป็นชาวจังหวัดกาญจนบุรีมีพระนามเดิมว่าเจริญคชวัตรประสูติเมื่อวันที่๓ตุลาคมพ.ศ. ๒๔๕๖ เวลาประมาณ๐๔.๐๐น. เศษ(นับอย่างปัจจุบันเป็นวันที่๔ตุลาคม) ตรงกับวันศุกร์ขึ้น๔ค่ำเดือน๑๑ปีฉลูณตำบลบ้านเหนืออำเภอเมืองจังหวัดกาญจนบุรีพระชนกชื่อนายน้อยคชวัตรพระชนนีชื่อนางกิมน้อยคชวัตร
บรรพชนของเจ้าพระคุณสมเด็จฯมีประวัติความเป็นมาน่าสนใจเพราะมาจาก๔ทิศทางกล่าวคือพระชนกมีเชื้อสายมาจากกรุงเก่าทางหนึ่งจากปักษ์ใต้ทางหนึ่งส่วนพระชนนีมีเชื้อสายมาจากญวนทางหนึ่งจากจีนทางหนึ่ง
นายน้อยคชวัตร
เป็นบุตรนายเล็กและนางแดงอิ่มเป็นหลานปู่หลานย่าของหลวงพิพิธภักดีและนางจีนหลวงพิพิธภักดีนั้นเป็นชาวกรุงเก่าเข้ามารับราชการในกรุงเทพฯได้ออกไปเป็นผู้ช่วยราชการอยู่ที่เมืองไชยาคราวหนึ่งและเป็นผู้หนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๓ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ไปคุมเชลยศึกที่เมืองพระตะบองคราวหนึ่งหลวงพิพิธภักดีได้ภรรยาเป็นชาวไชยา๒คนชื่อทับคนหนึ่งชื่อนุ่นคนหนึ่งและได้ภรรยาเป็นชาวพุมเรียงอีกคนหนึ่งชื่อแต้มต่อมาเมื่อครั้งพวกแขกยกเข้าตีเมืองตรังเมืองสงขลาของไทยเมื่อพ.ศ. ๒๓๘๑ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระยาศรีพิพัฒน์(ทัดซึ่งต่อมาได้เป็นที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติในรัชกาลที่๔) เป็นแม่ทัพยกออกไปปราบปรามหลวงพิพิธภักดีได้ไปในราชการทัพครั้งนั้นด้วยและไปได้ภรรยาอีกหนึ่งชื่อจีนซึ่งเป็นธิดาของพระปลัดเมืองตะกั่วทุ่ง(สน) เป็นหลานสาวของพระตะกั่วทุ่งหรือพระยาโลหภูมิพิสัย(ขุนดำชาวเมืองนครศรีธรรมราช) ต่อมาหลวงพิพิธภักดีได้พาภรรยาชื่อจีนมาตั้งครอบครัวอยู่ในกรุงเทพฯและได้รับภรรยาเดิมชื่อแต้มจากพุมเรียงมาอยู่ด้วย(ส่วนภรรยาอีก๒คนได้ถึงแก่กรรมไปก่อน)
เวลานั้นพี่ชายของหลวงพิพิธภักดีคือพระยาพิชัยสงครามเป็นเจ้าเมืองศรีสวัสดิ์กาญจนบุรีและมีอาชื่อพระยาประสิทธิสงคราม(ขำ) เป็นเจ้าเมืองกาญจนบุรีต่อมาหลวงพิพิธภักดีลาออกจากราชการและได้พาภรรยาทั้ง๒คนมาตั้งครอบครัวอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี
กล่าวกันว่าหลวงพิพิธภักดีนั้นเป็นคนดุเมื่อเป็นผู้ช่วยราชการอยู่ที่เมืองไชยาเคยเฆี่ยนนักโทษตายทั้งคาเป็นเหตุให้หลวงพิพิธภักดีเกิดสลดใจลาออกจากราชการแต่บางคนเล่าว่าเหตุที่ทำให้หลวงพิพิธภักดีต้องลาออกจากราชการนั้นก็เพราะเกิดความเรื่องที่ได้ธิดาพระปลัดเมืองตะกั่วทุ่งชื่อจีนมาเป็นภรรยานั่นเอง
เมื่อพี่ชายคือพระพิชัยสงครามทราบว่าหลวงพิพิธภักดีอพยพครอบครัวมาอยู่ที่เมืองกาญจนบุรีก็ได้ชักชวนให้เข้ารับราชการอีกแต่หลวงพิพิธภักดีไม่สมัครใจและได้ทำนาเลี้ยงชีพต่อมา
นายน้อยคชวัตรได้เรียนหนังสือตลอดจนได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ๒พรรษาอยู่ในสำนักของพระครูสิงคบุรคณาจารย์(สุด) เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม(วัดเหนือ) ซึ่งเป็นวัดใกล้บ้านพระครูสิงคบุรคณาจารย์นั้นเป็นบุตรคนเล็กของหลวงพิพิธภักดีกับนางจีนเป็นอาคนเล็กของนายน้อยเมื่อลาสิกขาแล้วนายน้อยได้เข้ารับราชการเป็นเสมียนสังกัดกระทรวงมหาดไทยที่เมืองกาญจนบุรีและได้แต่งงานกับนางกิมน้อยในเวลาต่อมา
นางกิมน้อยมาจากบรรพชนสายญวนและจีนบรรพชนสายญวนนั้นได้อพยพเข้ามาเมืองไทยในสมัยรัชกาลที่๓เมื่อครั้งเจ้าพระยาบดินเดชา(สิงห์ต้นตระกูลสิงหเส
นี) ยกทัพไปปราบจราจลเมืองญวนได้ครอบครัวญวนส่งเข้ามาถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พวกญวนที่นับถือพระพุทธศาสนาไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่กาญจนบุรีเมื่อปลายปีพ.ศ. ๒๓๗๒ เพื่อทำหน้าที่รักษาป้อมเมืองส่วนพวกญวนที่นับถือศาสนาคริสต์ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่กับพวกญวนเข้ารีดที่เมืองสามเสนในกรุงเทพฯบรรพชนสายญวนของนางกิมน้อยเป็นพวกญวนที่เรียกว่า“ญวนครัว”
ส่วนบรรพชนสายจีนนั้นได้โดยสารสำเภามาจากเมืองจีนและได้ไปตั้งถิ่นฐานทำการค้าอยู่ที่กาญจนบุรี
นางกิมน้อยเป็นบุตรีนายทองคำ(สายญวน) กับนางเฮงเล็กแซ่ตัน(สายจีน) เกิดที่ตำบลบ้านเหนืออำเภอเมืองกาญจนบุรีเมื่อแต่งงานกับนายน้อยแล้วได้ใช้ชื่อว่าแดงแก้วแต่ต่อมาก็กลับไปใช้ชื่อเดิมคือกิมน้อยหรือน้อยตลอดมา
นายน้อยคชวัตรเริ่มรับราชการในตำแหน่งเสมียนแล้วเลื่อนขึ้นเป็นผู้รั้งปลัดขวาแต่ต้องออกจากราชการเสียคราวหนึ่งเพราะป่วยหนักหลังจากหายป่วยแล้วจึงกลับเข้ารับราชการใหม่เป็นปลัดขวาอำเภอวังขนายกาญจนบุรีต่อมาได้ย้ายไปเป็นปลัดอำเภออัมพวาจังหวัดสมุทรสงครามเกิดป่วยเป็นโรคเนื้อร้ายงอกจึงกลับมารักษาตัวที่บ้านกาญจนบุรีและได้ถึงแก่กรรมเมื่อมีอายุเพียง๓๘ปีได้ทิ้งบุตรน้อยๆให้ภรรยาเลี้ยงดู๓คนคือ
๑. เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช(เจริญคชวัตร)
๒. นายจำเนียรคชวัตร
๓. นายสมุทรคชวัตร(ถึงแก่กรรมแล้ว)
สำหรับเจ้าพระคุณสมเด็จฯนั้นป้าเฮงผู้เป็นที่สาวของนางกิมน้อยได้ขอมาเลี้ยงตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์และทรงอยู่ในความเลี้ยงดูของป้าเฮงมาตลอดจนกระทั่งทรงบรรพชาเป็นสามเณรป้าเฮ้งได้เลี้ยงดูเจ้าพระคุณสมเด็จฯด้วยความถนุถนอมเอาใจเป็นอย่างยิ่งจนพากันเป็นห่วงว่าจะทำให้เสียเด็กเพราะเลี้ยงแบบตามใจเกินไป
ชีวิตในปฐมวัยของเจ้าพระคุณสมเด็จฯนับว่าเป็นสุขและอบอุ่นเพราะมีป้าคอยดูแลเอาใจใส่อย่างถนุถนอมส่วนที่นับว่าเป็นทุกข์ของชีวิตในวัยนี้ก็คือความเจ็บป่วยออดแอดของร่างกายในเยาว์วัยเจ้าพระคุณสมเด็จฯทรงเจ็บป่วยออดแอดอยู่เสมอจนคราวหนึ่งทรงป่วยหนักถึงกับ ญาติๆพากันคิดว่าคงจะไม่รอดและบนว่าถ้าหายป่วยจะให้บวชแก้บนเรื่องนี้นับเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เจ้าพระคุณสมเด็จฯทรงบรรพชาเป็นสามเณรในเวลาต่อมา
พระนิสัยของเจ้าพระคุณสมเด็จฯเมื่อเยาว์วัยนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นบุพพนิมิตหรือเป็นสิ่งแสดงถึงวิถีชีวิตในอนาคตของพระองค์ได้อย่างหนึ่งกล่าวคือเมื่อทรงพระเยาว์พระนิสัยที่ทรงแสดงออกอยู่เสมอได้แก่การชอบเล่นเป็นพระหรือเล่นเกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเช่นเล่นสร้างถ้ำก่อเจดีย์เล่นทอดผ้าป่าทอดกฐินเล่นทิ้งกระจาดแม้ของเล่นก็ชอบทำของเล่นที่เกี่ยวกับพระเช่นทำคัมภีร์เทศน์เล็กๆตาลปัตรเล็กๆ(คือพัดยศเล็กๆ)
พระนิสัยที่แปลกอีกอย่างหนึ่งของเจ้าพระคุณสมเด็จฯเมื่อเยาว์วัยคือทรงชอบเล่นเทียนเนื่องจากป้าต้องออกไปทำงานตั้งแต่ยังไม่สว่างเจ้าพระคุณสมเด็จฯจึงต้องพลอยตื่นแต่ดึกตามป้าด้วยแล้วไม่ยอมนอนต่อป้าจึงต้องหาของให้เล่นคือหาเทียนไว้ให้จุดเล่นเจ้าพระคุณสมเด็จฯก็จะจุดเทียนเล่นและนั่งดูเทียนเล่นอยู่คนเดียวจนสว่าง
พระนิสัยในท
างไม่ดีก็ทรงมีบ้างเช่นเดียวกับเด็กทั่วไปดังที่ทรงเคยเล่าว่าเมื่อเยาว์วัยก็ทรงชอบเลี้ยงปลากัดชนไก่และบางครั้งก็ทรงหัดดื่มสุราดื่มกระแช่ไปตามเพื่อนแต่พระนิสัยในทางนี้มีไม่มากถึงกับจะทำให้กลายเป็นเด็กเกเร
เมื่อพระชนมายุได้๘ขวบเจ้าพระคุณสมเด็จฯจึงเริ่มเข้าโรงเรียนคือโรงเรียนประชาบาลวัดเทวสังฆารามซึ่งใช้ศาลาวัดเป็นโรงเรียนจนจบชั้นประถม๓เท่ากับจบชั้นประถมศึกษาในครั้งนั้นหากจะเรียนต่อชั้นมัธยมจะต้องย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมวัดชัยชุมพลชนะสงคราม(วัดใต้) ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดสุดท้ายทรงตัดสินพระทัยเรียนต่อชั้นประถม๔ซึ่งจะเปิดสอนต่อไปที่โรงเรียนวัดเทวสังฆารามนั้นแล้วก็จะเปิดชั้นประถม๕ต่อไปด้วย(เทียบเท่าม.๑และม.๒แต่ไม่มีเรียนภาษาอังกฤษ) ในระหว่างเป็นนักเรียนทรงสมัครเป็นอนุกาชาดและลูกเสือทรงสอบได้เป็นลูกเสือเอกทรงจบการศึกษาชั้นประถม๕เมื่อพ.ศ. ๒๔๖๘ พระชนมายุ๑๒พรรษา
หลังจากจบชั้นประถม๕แล้วทรงรู้สึกว่ามาถึงทางตันไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรต่อและไม่รู้ว่าจะไปเรียนที่ไหนเพราะขาดผู้นำครอบครัวที่จะเป็นผู้ช่วยคิดช่วยแนะนำตัดสินใจทรงเล่าว่าเมื่อเยาว์วัยทรงมีพระอัธยาศัยค่อนข้างขลาดกลัวต่อคนแปลกหน้าและค่อนข้างจะเป็นคนติดป้าที่อยู่ใกล้ชิดกันมาแต่ทรงพระเยาว์โดยไม่เคยแยกจากกันเลยจึงทำให้พระองค์ไม่กล้าตัดสินพระทัยไปเรียนต่อที่อื่น
บรรพชาอุปสมบท
ในปีรุ่งขึ้นคือพ.ศ. ๒๔๖๙ น้าชาย๒คนจะบวชเป็นพระภิกษุที่วัดเทวสังฆารามพระชนนีและป้าจึงชักชวนเจ้าพระคุณสมเด็จ
ฯซึ่งขณะนั้นพระชนมายุย่าง๑๔พรรษาให้บวชเป็นสามเณรแก้บนที่ค้างมาหลายปีแล้วให้เสร็จเสียทีเจ้าพระคุณสมเด็จฯจึงตกลงพระทัยบวชเป็นสามเณรที่วัด เทวสังฆารามในปีนั้น โดยพระครูอดุลยสมณกิจ (ดีพุทธโชติ) เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม ซึ่งเรียกกันว่า “หลวงพ่อวัดเหนือ”เป็นพระอุปัชณาย์(สุดท้ายได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่พระเทพมงคลรังษี) พระครูนิวิฐสมาจาร(เหรียญสุวณณโชติ) เจ้าอาวาสสวัดศรีอุปลารามซึ่งเรียกกันว่า“หลวงพ่อวัดหนองบัว”เป็นพระอาจารย์ให้สรณะและศีล
ก่อนที่จะทรงบรรพชาเป็นสามเณรเจ้าพระคุณสมเด็จฯไม่เคยอยู่วัดมาก่อนเพียงแต่ไปเรียนหนังสือที่วัดจึงไม่ทรงคุ้นเคยกับพระรูปใดในวัดแม้หลวงพ่อวัดเหนือผู้เป็นพระอุปัชณาย์ของพระองค์ก็ไม่ทรงคุ้นเคยมาก่อนความรู้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องวัดก็ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกันนอกจากการไปวัดในงานเทศกาลการไปทำบุญที่วัดกับ
ป้าและเป็นเพื่อนป้าไปฟังเทศน์เวลากลางคืนในเทศกาลเข้าพรรษาซึ่งที่วัดเหนือมีเทศน์ทุกคืนตลอดพรรษาทรงเล่าว่าถ้าพระเทศน์เรื่องชาดกก็รู้สึกฟังสนุกเมื่อถึงเวลาเทศน์ก็มักจะเร่งป้าให้รีบไปฟังแต่ถ้าพระเทศน์ธรรมะก็ทรงรู้สึกว่าไม่รู้เรื่องและเร่งป้าให้กลับบ้านกล่าวได้ว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯเมื่อทรงพระเยาว์นั้นแทบจะไม่เคยห่างจากอกของป้าเลยยกเว้นการไปแรมคืนในเวลาเป็นลูกเสือบ้างเท่านั้นในคืนวันสุดท้ายก่อนที่จะทรงบรรพชาเป็นสามเณรนั้นป้าพูดว่า“คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่จะอยู่ด้วยกัน”ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะหลังจากทรงบรรพชาเป็นสามเณรแล้วก็ไม่ทรงมีโอกาสกลับไปอยู่ในอ้อมอกของป้าอีกเลยจนกระทั่งป้าเฮงถึงแก่กรรมเมื่อพ.ศ. ๒๕๐๗
กล่าวได้ว่าชีวิตพรหมจรรย์ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯนั้นเริ่มต้นจากการบวชแก้บนเมื่อทรงบรรพชาแล้วก็ทรงอยู่ในความปกครองของหลวงพ่อวัดเหนือและทรงเริ่มคุ้นเคยกับหลวงพ่อมากขึ้นเป็นลำดับ
พรรษาแรกแห่งชีวิตพรหมจรรย์ณวัดเทวสังฆารามเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ยังไม่ได้เล่าเรียนอะไรมีแต่ท่องสามเณรสิกขา(คือข้อพึงป
ฏิบัติสำหรับสามเณร) และท่องบททำวัตรสวดมนต์เท่านั้นส่วนกิจวัตรก็คือการปฏิบัติรับใช้หลวงพ่อผู้เป็นพระอุปัชฌาย์มีสิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อสอนในระหว่างที่ทำอุปัชฌาย์วัตร(คือการปฏิบัติรับใช้พระอุปัชฌาย์) ก็คือการต่อเทศน์
แบบที่เรียกกันว่าต่อหนังสือค่ำอันเป็นวิธีการเรียนการสอนอย่างหนึ่งในสมัยโบราณกล่าวคือเมื่อเข้าไปทำอุปัชฌาย์วัตรในตอนค่ำมีการบีบนวดเป็นต้นหลวงพ่อก็จะอ่านเทศน์ให้ฟังคืนละตอนแล้วท่องจำตามคำอ่านของท่านทำต่อเนื่องกันไปทุกคืนจนจำได้ทั้งกัณฑ์กัณฑ์เทศน์ที่หลวงพ่อต่อให้คือเรื่องอริยทรัพย์๗ประการเมื่อทรงจำได้คล่องแล้วหลวงพ่อก็ให้ขึ้นเทศน์ปากเปล่าให้ญาติโยมฟังในโบสถ์คืนวันพระวันหนึ่งในพรรษานั้นหลังจากเทศน์ให้ญาติโยมฟังแล้วเจ้าพระคุณสมเด็จฯยังทรงบันทึกเทศน์กัณฑ์นี้ไว้ในสมุดบันทึกส่วนพระองค์ด้วย